วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
สาขาคอมพิวเตอร์
สาขาคอมพิวเตอร์
ดร.
จอห์น วี. อะทานาซอฟฟ์
ประวัติ
จอห์น วี.
อะทานาซอฟฟ์ (John V. Atanasoff) เกิดเมื่อวันที่
4 ตุลาคม ค.ศ.1903 ที่เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา
ท่านเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ไฟฟ้าเป็นคนแรก คือเครื่อง ABC
เมื่อปี ค.ศ. 1937 (ก่อนหน้านี้เป็นคอมพิวเตอร์แบบเครื่องจักรกล)
ในขณะนั้นเขาอาจไม่รู้ว่าผลงานของเขาจะมีบทบาทต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์
ในอนาคตมากมายขนาดนี้ เขาได้เปิดประตููสู่ยุคคอมพิวเตอร์ีให้กับคนรุ่นหลังได้พัฒนาต่อยอดมาจนกลายเป็น
คอมพิวเตอร์ในปัจุบันท่านเสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1995
ชาร์ลส์
แบบเบจ บิดาแห่งคอมพิวเตอร์
Charles Babbage (26 ธันวาคม 1791 – 18 ตุลาคม 1871)
เขาเป็นนักคณิตศาสตร์ นักปรัชญาวิเคราะห์ และเป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
เนื่องจากเขาเป็นคนแรก
ที่มีแนวคิดเรื่องเครื่องคำนวณที่สามารถโปรแกรมหรือสั่งให้ทำงานได้
เครื่องในจินตนาการของเขายังไม่เสร็จสมบูรณ์
เขาก็เสียชีวิตก่อนที่จะได้เห็นความฝันของเขาเป็นจริง
ปัจุบันนี้ผลงานของเขาไว้ถูกเก็บและแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ลอนดอน
ผลงานนั้นคือเครื่องคำนวณหาผลต่าง (Difference Engine) และเมื่อปี
1991 นี้เองที่เครื่องหาผลต่างนี้ถูกสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ตามแบบที่ Babbage
ได้ออกแบบไว้
แสดงให้เห็นว่าเครื่องจักรจากแนวคิดของเขาทำไงานได้จริงแล้ว
ชาร์ลส แบบเบจ (Charles
Babbage) เกิดที่อังกฤษ ในครอบครัวของนายธนาคาร
และเติบโตมาในยุคที่อังกฤษเป็นประเทศที่มีอำนาจ
และกำลังอยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลให้การสนับสนุนทุนพัฒนาในสาขาต่างๆ
อย่างเต็มที่ แบบเบจศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่ ทรินิตี้ คอลเลจ
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ที่คณะคณิตศาสตร์ (Mathematical Laboratory)
ช่วงเป็นนักศึกษา
เขารวมกลุ่มกับเพื่อน ทำ induction of the Leibnitz
notation for the Calculus ขึ้นจนมีชื่อเสียง
ทำให้มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนหลักสูตรการเรียนการสอน พอเรียนจบ
แบบเบจก็ตัดสินใจเป็นอาจารย์ต่อที่คณะ ในปี ค.ศ. 1814, แบบเบจสมรสกับ
Geogiana Whitmore นักคณิตศาสตร์หญิงคนเก่งคนหนึ่งในยุคนั้นในทางคณิตศาสตร์
แบบเบจเน้นศึกษาด้านแคลคูลัสเป็นพิเศษ. ปี ค.ศ. 1816 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Fellow
ของ Royal Society ปี ค.ศ. 1820
เค้าตั้งชมรมด้านดาราศาสตร์ขึ้น พร้อมๆ กับเริ่มทำงานวิจัยสำคัญของเค้าในยุคต้น
ที่ทำให้เค้าโด่งดังมากคือ Difference Engine (ใช้ Newton's
method of successive differences) ในปี ค.ศ. 1828 แบบเบจได้รับแต่งตั้งให้เป็น
the Lucasian Chair of Mathematics at Cambridge (เหมือนกับ
เซอร์ ไอแซค นิวตัน และ สตีเฟ่น ฮอว์คิง) ต่อมา
แบบเบจขยายงานมาศึกษาเครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) เพื่อสร้างเป็น
เครื่องจักรที่สามารถรองรับการคำนวณทุกชนิด (ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์)
แต่ก็เป็นเพียงทฤษฏีเท่านั้น
เพราะเค้าไม่สามารถสร้างออกมาในช่วงที่เค้ามีชีวิตอยู่
เนื่องจากมีคนไม่เห็นด้วยมากมาย
เพราะความคิดเค้าทันสมัยเกินกว่าเทคโนโลยีในยุคนั้น จนทุกๆ
คนคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ จึงโดนตัดงบวิจัยในปี ค.ศ. 1832
แต่แบบเบจก็ฝืนทำต่อแบบไม่มีงบ จนทำไม่ไหว จนต้องปิดโครงการนี้ไป ในปี ค.ศ. 1842
แบบเบจชอบไฟมาก
ขนาดลองเอาเตาอบมาอบตัวเองเล่นที่ 265 องศาฟาเรนไฮด์เป็นเวลา 5-6 นาที
หรือพยายามปีนภูเขาไฟเวเซเวียส (Mt. Vesevius) เพื่อที่จะไปดูลาวาเดือดๆ
เครื่องคำนวณหาผลต่างของ
Babbage นี้ทำงานโดยอาศัยเครื่องจักรกล
(สมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้) ประกอบด้วยฟันเฟืองหลาย ๆ ตัวเป็นตัวขับเคลื่อน
เครื่องนี้ใช้ในการหาค่าของฟังก์ชันโพลิโนเมียล (Polynomial) ออกมาเป็นเป็นตาราง ซึ่งได้จากการวิเคราะห์ผลต่าง
(สามารถหาค่าของฟังก์ชันลอการิทึม (logarithm function) และ
ฟังก์ชันตรีโกณมิติ (Trigonometric function) ได้ด้วยเนื่องจากฟังชันก์ทั้งสองนี้สามารถประมาณค่าโดยฟังก์ชันโพลิโนเมียลได้)
เซมัวร์ เครย์
Seymour
Crayเกิด ปี 1925 ที่วิสคอนซิน USAเสียชีวิต ปี 1996 ทโคโลราโด USAผลงาน:
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เครย์ 1 (CRAY I)
ในปี 1972 เซมัวร์
เครย์เครย์ ได้ก่อตั้งบริษัท Cray Research เพื่อออกแบบและสร้างคอมพิวเตอร์ที่สมรรถนะสูงที่สุดในโลก ก็คือ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์พิเศษที่มีชิพไมโครโพรเซสเซอร์จำนวนมาก
ช่วยกันประมวลผลข้อมูล
ซึ่งทำให้คอมพิวเตอร์ชนิดนี้ทำงานได้เร็วกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไป
เครื่องแรกของเขาชื่อเครื่องเครย์-1 สร้างสำเร็จในปี 1976 และเครื่องเครย์-2
ได้ถูกสร้างตามมาในปี 1985 ซึ่งเร็วขึ้น 10 เท่า
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
สาขาคณิตศาสตร์
สาขาคณิตศาสตร์
คาร์ล
ฟรีดริช เกาส์
ประวัติ
โยฮันน์ คาร์ล ฟรีดริช เกาส์ นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน เกิดเมื่อวันที่ 30
เมษายน พ.ศ. 2302 (ค.ศ. 1777) เสียชีวิต 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855)
เป็นตำนานหนึ่งในนักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
(นักคณิตศาสตร์บางท่านกล่าวว่าสี่ผู้ยิ่งใหญ่ของวงการคณิตศาสตร์มี อาร์คิมิดีส
นิวตัน เกาส์ และออยเลอร์) ได้รับฉายาว่า "เจ้าชายแห่งคณิตศาสตร์" (Prince
of Mathematics) เนื่องจากอุทิศผลงานในทุก ๆ
ด้านของคณิตศาสตร์ในยุคสมัยของเขา นอกจากนี้เกาส์ยังมีผลงานสำคัญทางด้านฟิสิกส์
โดยเฉพาะด้านดาราศาสตร์อีกด้วย
ผลงานเกี่ยวกับทฤษฎีจำนวน ผลงานสำคัญของเกาส์ในด้านทฤษฎีจำนวน
คือหนังสือที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2344 (ค.ศ. 1801) ชื่อว่า Disquisitiones
Arithmeticae เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ เกี่ยวกับการนำเสนอ
เลขคณิตมอดุลาร์ (modular arithmetic) ที่เป็นระบบจำนวนภายใต้การหารแบบเหลือเศษ
และบทพิสูจน์แรกของทฤษฎี ส่วนกลับกำลังสอง (quadratic reciprocity) ซึ่งในปัจจุบันมีบทพิสูจน์ที่แตกต่างกันหลายแบบ
แต่เกาส์เป็นคนแรกที่พิสูจน์ทฤษฎีบทนี้ได้ ในปี พ.ศ. 2339 (ค.ศ. 1796)
อันเดรย์ นิโคลาเยวิช คอลโมโกรอฟ
ประวัติ
อันเดรย์ นิโคลาเยวิช คอลโมโกรอฟ(1903-1987) ( อังกฤษ: Andrey
Nikolaevich Kolmogorov),
เกิดเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ.
1903 เสียชีวิต 20 ตุลาคม ค.ศ. 1987, เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวรัสเซีย
ยักษ์ใหญ่ในวงการคณิตศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมีผลงานโดดเด่นมากในงาน
ทฤษฎีความน่าจะเป็นและทอพอโลยี. อันที่จริงแล้ว
คอลโมโกรอฟมีผลงานในแทบทุกแขนงของคณิตศาสตร์ เช่น ตรรกศาสตร์, อนุกรมฟูเรียร์, ความปั่นป่วน (turbulence), กลศาสตร์คลาสสิก นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในผู้คิดค้น
ความซับซ้อนแบบคอลโมโกรอฟ ร่วมกับ เกรโกรี ไชตัง และ เรย์ โซโลโมนอฟ ในช่วงช่วงปี
ค.ศ. 1960 ถึง ค.ศ. 1970.
คอลโมโกรอฟเสมือนเป็นบิดาของ
ทฤษฎีความน่าจะเป็นสมัยใหม่ (บางครั้งเรียกว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงคณิตศาสตร์)
เนื่องจากได้ปูรากฐานของทฤษฎีความน่าจะเป็นใหม่ทั้งหมด ด้วยสัจพจน์ที่เรียบง่ายเพียงไม่กี่ข้อ.
โดยงานวิจัยด้านทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงคณิตศาสตร์ในปัจจุบัน
(คนละประเภทกับงานวิจัยด้านทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์)
มีรากฐานทั้งหมดอยู่บนสัจพจน์คอลโมโกรอฟนี้
เดวิด ซาลส์เบิร์ก
กล่าวยกย่องคอลโมโกรอฟว่าเป็น " โมซาร์ทแห่งคณิตศาสตร์ ในหนังสือ The
Lady Tasting Tea: How Statistics Revolutionized Science in the Twentieth
Century"
กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ฟอน ไลบ์นิซ
ประวัติ
กอทท์ฟรีด
วิลเฮล์ม ฟอน ไลบ์นิซ (Gottfried Wilhelm von Leibniz)
เป็นนักปรัชญา, นักวิทยาศาสตร์,
นักคณิตศาสตร์, นักการทูต, บรรณารักษ์ และ นักกฎหมาย ชาวเยอรมันเชื้อสายเซิบ
เขาเป็นคนที่เริ่มใช้คำว่า "ฟังก์ชัน" สำหรับอธิบายปริมาณที่เกี่ยวกับเส้นโค้ง
เช่น ความชันของเส้นโค้ง หรือจุดบางจุดของเส้นโค้งดังกล่าว
ไลบ์นิซและนิวตันได้รับการยกย่องร่วมกันว่าเป็นผู้เริ่มพัฒนา
แคลคูลัสโดยเฉพาะส่วนของไลบ์นิซในการพัฒนาปริพันธ์และกฎผลคูณ
สาขาฟิสิกส์
สาขาฟิสิกส์
อัลเบิร์ต
ไอน์สไตน์
ประวัติ
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
(Albert Einstein)เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎี ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2428
ชาวเยอรมันเชื้อสายยิวที่มีสัญชาติสวิสและอเมริกัน (ตามลำดับ)
ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่
20 เขาเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และมีส่วนร่วมในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม
สถิติกลศาสตร์ และจักรวาลวิทยา เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ใน พ.ศ. 2464 จากการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
และจาก "การทำประโยชน์แก่ฟิสิกส์ทฤษฎี"
หลังจากที่ไอน์สไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป
ในปี พ.ศ. 2458
เขาก็กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยธรรมดานักสำหรับนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง
ในปีต่อ ๆ มา ชื่อเสียงของเขาได้ขยายออกไปมากกว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ
ในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์ ได้กลายมาเป็นแบบอย่างของความฉลาดหรืออัจฉริยะ
ความนิยมในตัวของเขาทำให้มีการใช้ชื่อไอน์สไตน์ในการโฆษณา
หรือแม้แต่การจดทะเบียนชื่อ "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" ให้เป็นเครื่องหมายการค้า
ตัวไอน์สไตน์เองมีความระลึกถึงผลกระทบทางสังคม
ซึ่งมีผลมาจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้ง
ในฐานะที่เขาได้เป็นปูชนียบุคคลแห่งความบรรลุทางปัญญา
เขายังคงถูกยกย่องให้เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์ที่สุดในยุคปัจจุบัน
ทุกการสร้างสรรค์ของเขายังคงเป็นที่เคารพนับถือ ทั้งในความเชื่อในความสง่า ความงาม
และความรู้แจ้งเห็นจริงในจักรวาล
(คือแหล่งเสริมสร้างแรงบันดาลใจในวิทยาศาสตร์ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่)
เป็นสูงสุด ความชาญฉลาดเชิงโครงสร้างของเขาแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของจักรวาล
ซึ่งงานเหล่านี้ถูกนำเสนอผ่านผลงานและหลักปรัชญาของเขา ในทุกวันนี้
ไอน์สไตน์ยังคงเป็นที่รู้จักดีในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่สุด
ทั้งในวงการวิทยาศาสตร์และนอกวงการ
ผลงานของไอน์สไตน์ในสาขาฟิสิกส์มีมากมาย
ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่ง:
- ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ซึ่งนำกลศาสตร์มาประยุกต์รวมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
- ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นไปตามหลักแห่งความสมมูล
- วางรากฐานของจักรวาลเชิงสัมพัทธ์ และค่าคงที่จักรวาล
- ขยายแนวความคิดยุคหลังนิวตัน สามารถอธิบายจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดของดาวพุธได้อย่างลึกซึ้ง
- ทำนายการหักเหของแสงอันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงและเลนส์ความโน้มถ่วง
- อธิบายการเกิดปรากฏการณ์ของแรงยกตัว
- ริเริ่มทฤษฎีการแกว่งตัวอย่างกระจายซึ่งอธิบายการเคลื่อนที่ของบราวน์ของโมเลกุล
- ทฤษฎีโฟตอนกับความเกี่ยวพันระหว่างคลื่น-อนุภาค ซึ่งพัฒนาจากคุณสมบัติอุณหพลศาสตร์ของแสง
- ทฤษฎีควอนตัมเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของอะตอมในของแข็ง
- พลังงานที่จุดศูนย์
- อธิบายรูปแบบย่อยของสมการของชเรอดิงเงอร์
- EPR paradox
- ริเริ่มโครงการทฤษฎีแรงเอกภาพ
ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์ผลงานทางวิทยาศาสตร์มากกว่า
300 ชิ้น และงานอื่นที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์อีกกว่า 150 ชิ้นปี พ.ศ. 2542
นิตยสารไทมส์ ยกย่องให้เขาเป็น "บุรุษแห่งศตวรรษ"
ผู้เขียนชีวประวัติของเขาเอ่ยถึงเขาว่า "สำหรับความหมายในทางวิทยาศาสตร์
และต่อมาเป็นความหมายต่อสาธารณะ ไอน์สไตน์ มีความหมายเดียวกันกับ อัจฉริยะ"
นีลส์ โบร์
ประวัติ
นีลส์
โบร์ (Niels Hendrik David Bohr)นักฟิสิกส์ชาวเดนมาร์ก เกิดที่กรุงโคเปนเฮเกน
จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนแล้วจึงได้ไปทำงานที่ประเทศอังกฤษ
ที่เมืองเคมบริดจ์ และแมนเชสเตอร์
ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันฟิสิกส์ทฤษฎีที่โคเปนเฮเกนตั้งแต่ปี พ.ศ.
2463 จนถึงแก่กรรม นีลส์ โบร์ ได้ขยายต่อยอดทฤษฎีโครงสร้างอะตอมให้ก้าวหน้าไปเป็นอันมาก
จากการให้การอธิบายสเปกตรัมของไฮโดรเจน
โดยวิธีสร้างแบบจำลองไฮโดรเจนและทฤษฎีควอนตัม (พ.ศ. 2456)
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่
2 บอร์ได้ไปช่วยโครงการวิจัยระเบิดปรมาณูที่
สหรัฐอเมริกาและกลับโคเปนเฮเกนเมื่อสิ้นสงครามในปี พ.ศ. 2488,
นีลส์ โบร์
เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นผู้อำนวยการสถาบันฟิสิกทฤษฎีที่โคเปนเฮเกน
ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เมื่อ พ.ศ. 2465
มักซ์
พลังค์
ประวัติ
มักซ์ คาร์ล แอนสต์
ลุดวิก พลังค์ (Max Karl Ernst Ludwig
Planck) เป็นนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ผู้บุกเบิกการศึกษาทฤษฎีควอนตัม
อันเป็นส่วนสำคัญในการศึกษาฟิสิกส์สมัยใหม่ แม้ในชีวิตตอนแรกของเขาจะดูราบรื่น โดยเขามีความสามารถทั้งทางดนตรีและฟิสิกส์
แต่เขากลับเดินไปในเส้นทางแห่งนักฟิสิกส์ทฤษฎี
จนเขาได้ตั้งทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่สำคัญต่อฟิสิกส์สมัยใหม่ นั่นคือ
กฎการแผ่รังสีของวัตถุดำของพลังค์ รวมถึงค่าคงตัวของพลังค์
ซึ่งนับว่าขาดไม่ได้เลยสำหรับการศึกษากลศาสตร์ควอนตัม
ทว่าบั้นปลายกลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวังจากภัยสงคราม เขาต้องสูญเสียภรรยาคนแรก
และบุตรที่เกิดกับภรรยาคนแรกไปทั้งหมด จนเหลือเพียงตัวเขา ภรรยาคนที่สอง
และบุตรชายที่เกิดกับภรรยาคนที่สองเพียงคนเดียว ถึงกระนั้น มักซ์ พลังค์
ก็ยังไม่ออกจากประเทศเยอรมนีอันเป็นบ้านเกิดของเขาไปยังดินแดนอื่น
มักซ์ พลังค์
ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ประจำปี พ.ศ. 2461 (มอบให้เมื่อปี พ.ศ. 2462)
นอกจากนี้ สมาคมฟิสิกส์เยอรมันได้นำชื่อเขาไปตั้งชื่อรางวัล "เหรียญมักซ์
พลังค์" (Max Planck Medal) ซึ่งเขาเป็นผู้ได้รับในปีแรกร่วมกับ
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เมื่อปี พ.ศ. 2471
สาขาเคมี
สาขาเคมี
มารี
กูว์รี
ประวัติ
มารี กูว์รี
เป็นชาวโปแลนด์ เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2410 ที่เมืองวอร์ซอ เขตวิสทูลา
จักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศโปแลนด์ เป็นบุตรของบรอนีสวาวา (Bronisława)
กับววาดึสวอฟ (Władysław) ววาดึสวอฟ (บิดา)
เป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ และมักพาเธอมาที่ห้องปฏิบัติการเสมอ
จึงทำให้เธอสนใจวิชาด้านวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็ก
แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อรัสเซียมาปกครองโปแลนด์และบังคับให้ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาทางการก็ตาม
ในสมัยนั้นค่านิยมในสังคมของผู้หญิงส่วนใหญ่จะต้องเรียนการเป็นแม่บ้าน
ซึ่งมารี กูว์รี แตกต่างโดยสิ้นเชิง ที่ใส่ใจค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์
หลังจบการศึกษาระดับต้นแล้ว
เธอกับพี่สาวก็ทำงานด้วยการเป็นครูสอนอนุบาล สอนหนังสือให้กับเด็ก ๆ แถว ๆ นั้น
โดยทั้งสองมุ่งหวังอยากไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส แต่เงินไม่พอกับค่าใช้จ่าย
เธอจึงให้พี่สาวคือ บรอเนีย ไปเรียนต่อด้านแพทยศาสตร์ก่อน
พอจบแล้วค่อยส่งเสียเธอเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์ต่อไป
จนพี่สาวจบมาเธอก็ได้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยปารีส
สมใจแต่ด้วยเงินอันน้อยนิดจากพี่สาวไม่พอต่อค่าใช้จ่าย
เธอจึงดิ้นรนหางานทำจนได้เป็นผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการทางเคมีของปีแยร์ กูว์รี
จนทั้งสองแต่งงานมีลูกด้วยกัน แต่ปีแยร์เสียชีวิตก่อนเพราะอุบัติเหตุรถม้าชน
ระหว่างที่เรียนไปทำงานไป เธอก็มุ่งมั่นศึกษาทดลองไปเรื่อย ๆ
จนมาพบรังสีแร่ธาตุเรเดียม
โดยได้มาจากแร่พิตช์เบลนด์ที่เป็นออกไซต์ชนิดหนึ่งสามารถแผ่กระจายรังสีได้
จากการเพียรพยายามทดลองมาหลายปีในการสกัดแร่ชนิดต่าง ๆ
จนมาพบรังสีดังกล่าวทำให้เธอได้รับปริญญาเอกในการค้นพบแร่ธาตุเรเดียม
มารี กูว์รีและปีแยร์ กูว์รี
จนในปี พ.ศ. 2445
(ค.ศ. 1902) เธอก็สามารถสกัดแร่เรเดียมให้บริสุทธิ์ได้ เรียกว่า เรเดียมคลอไรด์
ที่สามารถแผ่รังสีได้มากกว่ายูเรเนียมถึง 2,000,000 เท่า มีคุณสมบัติคือ
ให้แสงสว่างและความร้อนได้ และเมื่อแร่นี้แผ่รังสีไปถูกวัตถุอื่น
วัตถุนั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นธาตุกัมมันตรังสี
และสามารถแผ่รังสีได้เช่นเดียวกันกับแร่เรเดียม จนทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลต่อมา
การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแร่เรเดียมอย่างหนัก
และต่อเนื่องกว่า 4 ปี ทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลอีกครั้ง แม้สามีจะเสียชีวิตก็ตาม
ด้วยกำลังใจอันล้นเปี่ยม เมื่อเกิดภาวะสงครามโลกครั้งที่ 1
ซึ่งผู้คนส่วนมากล้มตายและถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร
เธอจึงอาสาสมัครเป็นอาสากาชาดเพื่อช่วยทหารที่บาดเจ็บ ในการเอกซเรย์เคลื่อนที่ตระเวนรักษาตามหน่วยต่าง
ๆ จนสงครามสงบเธอก็กลับมาทำงาน แต่ก็ต้องล้มป่วยเพราะผลมาจากการทำงานหนัก
และโดนรังสีเรเดียม ทำให้ไขกระดูกถูกทำลายและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
อนึ่ง มารี กูว์รี
สามารถจดสิทธิบัตรได้ และทำให้เธอเป็นเศรษฐีได้ในพริบตา แต่เธอกลับเลือกที่จะมอบสิ่งที่เธอค้นพบให้กับโลก
ทำให้เธอและครอบครัวเป็นเพียงครอบครัวนักวิทยาศาสตร์จน ๆ ตลอดจนเสียชีวิต
หลังการเสียชีวิตของ มารี กูว์รี
หนึ่งในลูกสาวของเธออีแรน ฌอลีโย-กูว์รี ก็ได้ค้นคว้างานวิจัยของเธอต่อไป
จนประสบความสำเร็จได้รับรางวัลโนเบลในเวลาต่อมา
เกออร์ก
วิททิก
ประวัติ
เกออร์ก วิททิก
(Georg Wittig) เป็นนักเคมีชาวเยอรมัน
เป็นผู้ค้นพบปฏิกิริยาวิททิก ซึ่งเป็นการสังเคราะห์อินทรีย์เพื่อเตรียมแอลคีน
รวมถึงค้นพบปฏิกิริยาเรียงตัวใหม่ 1,2-วิททิก ปฏิกิริยาเรียงตัวใหม่
2,3-วิททิกและการเตรียมฟีนิลลิเทียม
วิททิกได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีร่วมกับเฮอร์เบิร์ต ซี. บราวน์ ในปี ค.ศ. 1979
เกออร์
วิททิกเกิดที่กรุงเบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1897
ต่อมาครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่ที่เมืองคัสเซิล
วิททิกเรียนเคมีที่มหาวิทยาลัยทือบิงเงิน
เขาได้เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและถูกกองทัพอังกฤษจับตัวหลังถูกปล่อยตัว
วิททิกกลับมาเรียนต่อจนจบด้านเคมีอินทรีย์
เขาเริ่มทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ตามคำแนะนำของคาร์ล ฟอน
อาวเวอส์และได้งานเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยมาร์บูร์ก ในปี ค.ศ. 1930 วิททิกแต่งงานกับวัลทรอด
แอนสต์ ต่อมาวิททิกได้รับคำเชิญจากคาร์ล ทีโอฟิล
ไฟส์ให้มาดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบราน์ชไวก์
หลังถูกนาซีกดดันอย่างหนัก
วิททิกเดินทางไปมหาวิทยาลัยไฟรบูร์กตามคำเชิญของแฮร์มันน์ สเตาดิงเงอร์
ในปี ค.ศ. 1944
วิททิกดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเคมีอินทรีย์ของมหาวิทยาลัยทือบิงเงิน
ในช่วงที่ทำงานที่นี่ วิททิกได้คิดค้นปฏิกิริยาวิททิก
ต่อมาเขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเคมีอินทรีย์ที่มหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์กจนกระทั่งเกษียณในปี
ค.ศ. 1967 และได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี ค.ศ. 1979
วิททิกยังคงตีพิมพ์บทความวิชาการถึงปี
ค.ศ. 1980 เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1987
แดน
เชชท์มัน
แดน เชชท์มัน (Dan
Shechtman) เป็นศาสตราจารย์แห่งภาควิชาวัสดุศาสตร์ที่สถาบันเทคโนโลยีเทคเนียน-อิสราเอล,
รองศาสตราจารย์แห่งห้องปฏิบัติการอาเมส กระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกา
และศาสตราจารย์แห่งภาควิชาวัสดุศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยไอโอวาสเตต เมื่อวันที่ 8
เมษายน พ.ศ. 2535 ขณะที่กำลังหยุดพักผ่อนที่สำนักงานมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาในกรุงวอชิงตัน
ดี.ซี. แชคมันน์ค้นพบควอซีคริสตัล (quasicrystal) ซึ่งได้เปิดศาสตร์ใหม่แห่งคริสตัลที่มีคาบแบบกึ่งเป็นรอบ
(quasiperiodic crystals) เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำ
พ.ศ. 2554 สำหรับ "การค้นพบควอซีคริสตัล"
ควอซีคริสตัล
สาขาชีววิทยา
สาขาชีววิทยา
อเล็กซานเดอร์
เฟลมมิง
ประวัติ
เกิดเมื่อวันที่ 6
สิงหาคม พ.ศ. 2424 ในดาร์เวล เมืองอีสต์อายร์ไชร์ ประเทศสก็อตแลนด์
พ่อของเขาชื่อฮิวจ์ เฟลมมิง (Hugh Fleming) ในวัยเด็กเฟลมมิงเป็นเด็กซุกซน ฉลาดหลักแหลม เมื่อเริ่มเข้าเรียนหนังสือ
พ่อของเฟลมมิงได้ส่งเขาเข้าเรียนที่โรงเรียนคาร์เวล (Carwell School) หลังจากนั้นได้เข้าเรียนต่อที่คิลมาร์น็อก อะคาเดมี (Kilmarnock
Academy) ต่อมาเขาได้เข้าเรียนต่อวิชาแบคทีเรียวิทยา ที่วิทยาลัยการแพทย์
แห่งโรงพยาบาลเซนต์แมรี่ ในลอนดอน เขาจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2451
โดยได้รับเกียรตินิยมอันดับ 1
หลังจากจบการศึกษาเฟลมมิงได้เข้าทำงานเป็นแพทย์ประจำแผนกภูมิคุ้มกันโรค
และผู้ช่วยของเซอร์อัลม์โรธ เอ็ดเวิร์ด ไรท์ (Sir Almroth Edward Wright) หัวหน้าแผนกแบคทีเรียวิทยาในโรงพยาบาลเซนต์แมรี่
และเขาได้ค้นพบยาปฏิชีวนะที่สกัดได้จากสิ่งมีชีวิตต่างๆ
เพนนิซิลเลียม
ในปี ค.ศ. 1945 (พ.ศ.
2488) เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ร่วมกับแอร์นส์ บอริส
ไชนและโฮเวิร์ด วอลเตอร์ ฟลอรีย์ ในการค้นพบเชื้อราชนิดหนึ่งชื่อว่าเพนนิซิลเลียม (Penicilliam) ซึ่งต่อมาได้นำมาสกัดเป็นยาเพนนิซิลลิน (Penicilin)
เสียชีวิตในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2498 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
โรเบิร์ต คอค
ประวัติ
โรเบิร์ต
คอค ( Heinrich Hermann Robert Koch)เป็นนายแพทย์ชาวเยอรมัน
ได้ศึกษาโรคที่เกิดจากแกะโดยเพาะเลี้ยงเชื้อนอกอวัยวะสัตว์จนสามารถอธิบายวงจรชีวิตของเชื้อดังกล่าวได้
เมื่อปี พ.ศ. 2419 (ค.ศ. 1876)
ซึ่งภายหลังทราบกันดีว่าเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคแอนแทรค (Bacillus
anthracis) นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีการอธิบายบทบาทของเชื้อโรคต่อการเกิดโรคได้อย่างชัดเจน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2425 (ค.ศ. 1882) คอคได้ค้นพบเชื้อโรคที่ทำให้เกิดวัณโรค (Mycobacterium
tuberculosis) และได้พัฒนาการสกัดสารชื่อ ทูเบอร์คูลิน (Tuberculin)
ซึ่งช่วยในการตรวจสอบเชื้อวัณโรคได้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2426 (ค.ศ.
1883) คอคเดินทางไปยังอินเดียและได้ค้นพบเชื้อที่ทำให้เกิดอหิวาตกโรค (Vibrio
cholerae) และการเสนอสมมติฐานของคอค
ซึ่งเป็นรากฐานของความรู้ทางโรคติดเชื้อในปัจจุบัน
คอคได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี
พ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905) จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มสาขาวิชาจุลชีววิทยาสมัยใหม่
ร่วมกับคู่แข่งของเขาที่ปารีส คือหลุยส์ ปาสเตอร์
คอคเป็นผู้วางรากฐานการศึกษาการติดเชื้อและก่อตั้งสาขาวิชาเวชศาสตร์เขตร้อนในเยอรมัน
เอมิล
อดอล์ฟ ฟอน เบริง
ประวัติ
เอมิล อดอล์ฟ ฟอน
เบริง ถือกำเนิดที่ฮันส์ดอร์ฟ
ไครส์ โรเซนแบร์ก จังหวัดปรัสเซีย โดยมีชื่อ อดอล์ฟ เอมิล เบริง (Adolf
Emil Behring)
ระหว่าง ค.ศ. 1874
และ ค.ศ. 1878 เบริงศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ที่ Akademie für das
militärärztliche Bildungswesen เมืองเบอร์ลิน เขาทำงานหลักเป็นแพทย์ทหาร
และต่อมาเป็นศาสตราจารย์ด้านสุขศาสตร์ในคณะแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมาร์บูร์ก (University
of Marburg) ภายใต้แรงต่อต้านในช่วงแรกจากสภาคณะ
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขารับไว้ตลอดช่วงชีวิต
เบริงเป็นผู้ค้นพบสารต้านชีวพิษ
(antitoxin) ต่อคอตีบ และมีชื่อเสียงอย่างมากจากการค้นพบดังกล่าว
รวมทั้งจากการอุทิศตนเพื่อศึกษาด้านภูมิคุ้มกัน
เขาเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์เป็นคนแรกในปี ค.ศ. 1901
จากการพัฒนาการรักษาด้วยซีรัมเพื่อต้านคอตีบ (ซึ่งเป็นผลงานร่วมกับเอมิล รูซ์ (Emile
Roux)) และบาดทะยัก เนื่องจากโรคคอตีบนั้นได้คร่าชีวิตประชาชนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็ก
และบาดทะยักเป็นสาเหตุการเสียชีวิตหลักในสงคราม ในสภาวัณโรคนานาชาติ (International
Tuberculosis Congress) เมื่อ ค.ศ. 1905 เบริงได้ประกาศว่าเขาค้นพบ
"สารซึ่งนำมาจากไวรัสเชื้อวัณโรค" สารดังกล่าวที่เบริงตั้งชื่อว่า
"T C" มีบทบาทสำคัญในการสร้าง
"โบวิวัคซีน" ของศาสตราจารย์เบริง ซึ่งช่วยป้องกันวัณโรควัว
เบริงเสียชีวิตที่มาร์บูร์ก
เฮสส์-นัสเซา เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1917
ชื่อของท่านได้นำไปเพื่อรำลึกถึงตามสถาบันหรือบริษัทต่างๆ เช่น Dade
Behring บริษัททำงานเกี่ยวกับการสินิจฉัยทางคลินิกขนาดใหญ่ของโลก,
CSL Behring ผู้ผลิตสารชีวรักษาจากพลาสมา, Behringwerke AG ในมาร์บูร์ก, Novartis Behring และในรางวัลเอมิล ฟอน
เบริง (Emil von Behring Prize) แห่งมหาวิทยาลัยมาร์บูร์กซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดด้านการแพทย์ในประเทศเยอรมนี
เหรียญรางวัลโนเบลของเบริงปัจจุบันถูกรักษาที่พิพิธภัณฑ์สภากาชาดและเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศในกรุงเจนีวา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)