วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สาขาเคมี

สาขาเคมี



 มารี กูว์รี




ประวัติ
มารี กูว์รี เป็นชาวโปแลนด์ เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2410 ที่เมืองวอร์ซอ เขตวิสทูลา จักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศโปแลนด์ เป็นบุตรของบรอนีสวาวา (Bronisława) กับววาดึสวอฟ (Władysław) ววาดึสวอฟ (บิดา) เป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ และมักพาเธอมาที่ห้องปฏิบัติการเสมอ จึงทำให้เธอสนใจวิชาด้านวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็ก แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อรัสเซียมาปกครองโปแลนด์และบังคับให้ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาทางการก็ตาม

ในสมัยนั้นค่านิยมในสังคมของผู้หญิงส่วนใหญ่จะต้องเรียนการเป็นแม่บ้าน ซึ่งมารี กูว์รี แตกต่างโดยสิ้นเชิง ที่ใส่ใจค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์

หลังจบการศึกษาระดับต้นแล้ว เธอกับพี่สาวก็ทำงานด้วยการเป็นครูสอนอนุบาล สอนหนังสือให้กับเด็ก ๆ แถว ๆ นั้น โดยทั้งสองมุ่งหวังอยากไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส แต่เงินไม่พอกับค่าใช้จ่าย เธอจึงให้พี่สาวคือ บรอเนีย ไปเรียนต่อด้านแพทยศาสตร์ก่อน พอจบแล้วค่อยส่งเสียเธอเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์ต่อไป จนพี่สาวจบมาเธอก็ได้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยปารีส สมใจแต่ด้วยเงินอันน้อยนิดจากพี่สาวไม่พอต่อค่าใช้จ่าย เธอจึงดิ้นรนหางานทำจนได้เป็นผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการทางเคมีของปีแยร์ กูว์รี จนทั้งสองแต่งงานมีลูกด้วยกัน แต่ปีแยร์เสียชีวิตก่อนเพราะอุบัติเหตุรถม้าชน ระหว่างที่เรียนไปทำงานไป เธอก็มุ่งมั่นศึกษาทดลองไปเรื่อย ๆ จนมาพบรังสีแร่ธาตุเรเดียม โดยได้มาจากแร่พิตช์เบลนด์ที่เป็นออกไซต์ชนิดหนึ่งสามารถแผ่กระจายรังสีได้ จากการเพียรพยายามทดลองมาหลายปีในการสกัดแร่ชนิดต่าง ๆ จนมาพบรังสีดังกล่าวทำให้เธอได้รับปริญญาเอกในการค้นพบแร่ธาตุเรเดียม
มารี กูว์รีและปีแยร์ กูว์รี

จนในปี พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) เธอก็สามารถสกัดแร่เรเดียมให้บริสุทธิ์ได้ เรียกว่า เรเดียมคลอไรด์ ที่สามารถแผ่รังสีได้มากกว่ายูเรเนียมถึง 2,000,000 เท่า มีคุณสมบัติคือ ให้แสงสว่างและความร้อนได้ และเมื่อแร่นี้แผ่รังสีไปถูกวัตถุอื่น วัตถุนั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นธาตุกัมมันตรังสี และสามารถแผ่รังสีได้เช่นเดียวกันกับแร่เรเดียม จนทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลต่อมา

การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแร่เรเดียมอย่างหนัก และต่อเนื่องกว่า 4 ปี ทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลอีกครั้ง แม้สามีจะเสียชีวิตก็ตาม ด้วยกำลังใจอันล้นเปี่ยม เมื่อเกิดภาวะสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งผู้คนส่วนมากล้มตายและถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เธอจึงอาสาสมัครเป็นอาสากาชาดเพื่อช่วยทหารที่บาดเจ็บ ในการเอกซเรย์เคลื่อนที่ตระเวนรักษาตามหน่วยต่าง ๆ จนสงครามสงบเธอก็กลับมาทำงาน แต่ก็ต้องล้มป่วยเพราะผลมาจากการทำงานหนัก และโดนรังสีเรเดียม ทำให้ไขกระดูกถูกทำลายและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

อนึ่ง มารี กูว์รี สามารถจดสิทธิบัตรได้ และทำให้เธอเป็นเศรษฐีได้ในพริบตา แต่เธอกลับเลือกที่จะมอบสิ่งที่เธอค้นพบให้กับโลก ทำให้เธอและครอบครัวเป็นเพียงครอบครัวนักวิทยาศาสตร์จน ๆ ตลอดจนเสียชีวิต
หลังการเสียชีวิตของ มารี กูว์รี หนึ่งในลูกสาวของเธออีแรน ฌอลีโย-กูว์รี ก็ได้ค้นคว้างานวิจัยของเธอต่อไป จนประสบความสำเร็จได้รับรางวัลโนเบลในเวลาต่อมา

     เกออร์ก วิททิก


     ประวัติ
เกออร์ก วิททิก (Georg Wittig) เป็นนักเคมีชาวเยอรมัน เป็นผู้ค้นพบปฏิกิริยาวิททิก ซึ่งเป็นการสังเคราะห์อินทรีย์เพื่อเตรียมแอลคีน รวมถึงค้นพบปฏิกิริยาเรียงตัวใหม่ 1,2-วิททิก ปฏิกิริยาเรียงตัวใหม่ 2,3-วิททิกและการเตรียมฟีนิลลิเทียม วิททิกได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีร่วมกับเฮอร์เบิร์ต ซี. บราวน์ ในปี ค.ศ. 1979

เกออร์ วิททิกเกิดที่กรุงเบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1897 ต่อมาครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่ที่เมืองคัสเซิล วิททิกเรียนเคมีที่มหาวิทยาลัยทือบิงเงิน เขาได้เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและถูกกองทัพอังกฤษจับตัวหลังถูกปล่อยตัว วิททิกกลับมาเรียนต่อจนจบด้านเคมีอินทรีย์ เขาเริ่มทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ตามคำแนะนำของคาร์ล ฟอน อาวเวอส์และได้งานเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยมาร์บูร์ก ในปี ค.ศ. 1930 วิททิกแต่งงานกับวัลทรอด แอนสต์ ต่อมาวิททิกได้รับคำเชิญจากคาร์ล ทีโอฟิล ไฟส์ให้มาดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบราน์ชไวก์ หลังถูกนาซีกดดันอย่างหนัก วิททิกเดินทางไปมหาวิทยาลัยไฟรบูร์กตามคำเชิญของแฮร์มันน์ สเตาดิงเงอร์

ในปี ค.ศ. 1944 วิททิกดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเคมีอินทรีย์ของมหาวิทยาลัยทือบิงเงิน ในช่วงที่ทำงานที่นี่ วิททิกได้คิดค้นปฏิกิริยาวิททิก ต่อมาเขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเคมีอินทรีย์ที่มหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์กจนกระทั่งเกษียณในปี ค.ศ. 1967 และได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี ค.ศ. 1979

วิททิกยังคงตีพิมพ์บทความวิชาการถึงปี ค.ศ. 1980 เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1987

     แดน เชชท์มัน


    ประวัติ
แดน เชชท์มัน (Dan Shechtman) เป็นศาสตราจารย์แห่งภาควิชาวัสดุศาสตร์ที่สถาบันเทคโนโลยีเทคเนียน-อิสราเอล, รองศาสตราจารย์แห่งห้องปฏิบัติการอาเมส กระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกา และศาสตราจารย์แห่งภาควิชาวัสดุศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยไอโอวาสเตต เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2535 ขณะที่กำลังหยุดพักผ่อนที่สำนักงานมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. แชคมันน์ค้นพบควอซีคริสตัล (quasicrystal) ซึ่งได้เปิดศาสตร์ใหม่แห่งคริสตัลที่มีคาบแบบกึ่งเป็นรอบ (quasiperiodic crystals) เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำ พ.ศ. 2554 สำหรับ "การค้นพบควอซีคริสตัล"
ควอซีคริสตัล




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น